‘วายแอลจี’ชี้ราคาทองเริ่มขยับขึ้น มีโอกาสเห็นทองคำแท่งแตะ 31,500 บาท

เมื่อวันที่ 12 เม.ย. น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดล่วงหน้า (ทีเฟ็กซ์) เปิดเผยว่า ราคาทองคำเริ่มปรับตัวขึ้นมาสวนทางกับดัชนีสินทรัพย์เสี่ยง เช่นดัชนีตลาดหุ้น จากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย รวมถึงความตึงเครียดระหว่างยูเครนและรัสเซีย โดยเฉพาะล่าสุดหลายประเทศในยุโรปที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) มีความต้องการเข้าเป็นสมาชิก สถานการณ์นี้อาจส่งผลให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้น จึงส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวลงคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

นอกจากนี้ประเด็นเรื่องธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะทำการดึงเงินออกจากระบบเพื่อรักษาเงินเฟ้ออาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวในทิศทางรุนแรงมากขึ้น นักลงทุนจึงมีความกังวลในการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง และเริ่มเข้าลงทุนในทองคำในฐานสินทรัพย์ปลอดภัย ดังจะเห็นได้จากกองทุนเอสพีดีอาร์ ซึ่งเป็นกองทุนทองคำขนาดใหญ่ยังคงเข้าทำการซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดถือครองทองคำเพิ่ม 3.19 ตัน สู่ระดับ 1,090.49 ตัน ทำให้ปี 2565 กองทุนเอสพีดีอาร์ ถือครองทองเพิ่ม 114.83 ตัน

สำหรับแนวโน้มราคาทองคำ ถือว่ามีทิศทางค่อย ๆ ปรับตัวขึ้น และมีโอกาสปรับขึ้นไปที่ 1,974-1,991 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หากสามารถผ่านแนวต้านดังกล่าวได้อาจปรับตัวขึ้นไปที่ 2,008 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่หากไม่มีปัจจัยบวกมาสนับสนุนอาจย่อตัวลงมาเพื่อสะสมกำลังในการปรับตัวขึ้นรอบใหม่ ส่วนแนวรับมองที่ 1,939 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แนวรับถัดไป 1,923 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำแท่งในรูปแบบเงินบาทมองกรอบการเคลื่อนไหวที่ 30,600-31,500 บาท โดยในระยะสั้นแนะนำแบ่งขายเมื่อมีกำไร

สำหรับสัปดาห์นี้การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในตลาดโลกยังคงเป็นไปตามปกติ แต่ตลาดในประเทศไทยนั้นต้นสัปดาห์จะมีมูลค่าการซื้อขายเบาบางเนื่องจากในสัปดาห์นี้มีวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ ทั้งนี้แม้เป็นช่วงสถานการณ์วันหยุด ก็ยังคงต้องจับตาความเคลื่อนไหวในต่างประเทศโดยเฉพาะสถานการณ์ความตึงเครียดยูเครน-รัสเซีย ในส่วนของนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดทีเฟ็กซ์ ควรลดสถานการณ์ถือครองในช่วงวันหยุดยาว

อย่างไรก็ดี สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเพิ่มโอกาสการลงทุนในช่วงวันหยุดยาวนั้น สามารถเลือกลงทุนในตลาดซีเอ็มอี ซึ่งเป็นตลาดฟิวเจอร์ส อันดับหนึ่งของโลกจากสหรัฐ ที่มีสินค้าที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลกครอบคลุม ทองคำ น้ำมันดิบ ดัชนีหุ้นสหรัฐ คริปโตเคอร์เรนซี สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง อีกทั้ง สามารถเทรดได้ตลอด 24 ชม. ไม่เว้นวันหยุดของประเทศไทย

ทั้งนี้วายแอลจี ได้ร่วมมือกับ ซีเอ็มอี กรุ๊ป ที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือ กลต. และธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. มีกฎหมายรองรับการซื้อขาย โดยนักลงทุนที่ใช้บริการผ่านวายแอลจี สามารถลงทุนได้ในทุกบริการ ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งกองทุนสถาบันในการเข้าไปซื้อขายสินค้า

‘ค่าเงินบาท’อ่อนค่า 37.80 บาท เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ย้ำยังไม่จบ!

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 3 พ.ย. ที่ระดับ 37.80 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 37.58 บาทต่อดอลลาร์ โดยมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 37.70-38.00 บาทต่อดอลลาร์

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนไหวผันผวนสูง โดยในช่วงแรกตลาดหุ้นสหรัฐ ตอบรับในเชิงบวกต่อแนวโน้มการชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดที่ได้ระบุในแถลงการผลการประชุม หลังเฟดมีมติขึ้นดอกเบี้ย +0.75% สู่ระดับ 3.75%-4.00% ตามคาด อย่างไรก็ดี ตลาดพลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ทันทีที่ประธานเฟดได้ย้ำจุดยืนการต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อสูง ซึ่งสะท้อนว่าการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟดนั้นยังไม่จบ แม้ว่าเฟดอาจเริ่มพิจารณาชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดๆไป และยังเร็วเกินไปที่ตลาดจะคาดการณ์ว่าเฟดจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยได้ในเร็วนี้

นอกจากนี้ ประธานเฟดยังได้ปรับลดโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐ หลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือชะลอลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Soft Landing) ซึ่งมุมมองดังกล่าวทั้งแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟดและโอกาสเกิดภาพ Soft Landing ที่ลดลง ได้ส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดการเงินสหรัฐ กลับมาเทขายสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ที่อ่อนไหวเป็นพิเศษกับแนวโน้มดอกเบี้ย กดดันให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq สหรัฐ ดิ่งลงหนัก -3.36% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -2.50%คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป พลิกกลับมาย่อตัวลง -0.29% หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้น ก่อนที่จะรับรู้ผลการประชุมของเฟด ทำให้ผู้เล่นบางส่วนอาจลดความเสี่ยงลงด้วยการขายทำกำไรออกมา ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดยังกังวลว่า การเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยจะยังคงมีอยู่ แม้เฟดอาจชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยหลังจากการประชุมเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐ ล่าสุดยังแข็งแกร่งและเงินเฟ้อยังไม่ได้ชะลอตัวลงได้เร็ว กดดันให้หุ้นกลุ่มเทคฯ เผชิญแรงขายมากขึ้น อาทิ ASML -1.9% ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Healthcare อาทิ Novo Nordisk +7.4% หลังบริษัทรายงานผลกำไรที่ดีกว่าคาดและปรับเพิ่มคาดการณ์ผลกำไรจากยอดขายยารักษาเบาหวาน Ozempic ที่เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐพลิกกลับมาปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 4.11% หลังประธานเฟดเน้นย้ำความจำเป็นที่จะต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมามองว่าจุดสูงสุดของดอกเบี้ยนโยบายเฟด หรือ Terminal rate อาจอยู่ที่ระดับ 5.25% หรือสูงกว่า (จาก CME FedWatch Tool) ซึ่งเรามองว่า บอนด์ยีลด์ระยะสั้นและระยะยาวอาจปรับตัวขึ้นได้อีกครั้ง แต่มองว่า ในจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ดังกล่าว จะหนุนให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าซื้อ (Buy on Dip) เพื่อรับมือความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐ ชะลอตัวลงหนัก หรือ เข้าสู่ภาวะถดถอย ตามที่ประธานเฟดได้ระบุว่า โอกาสที่เศรษฐกิจจะ soft landing นั้นเริ่มมีน้อยลง (นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินโอกาส 60% ที่เศรษฐกิจสหรัฐ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า)

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนหนัก โดยเงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าในช่วงแรก หลังแถลงการณ์ผลการประชุมเฟดสะท้อนโอกาสเฟดชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย ก่อนที่เงินดอลลาร์จะปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว จากถ้อยแถลงของประธานเฟดที่ย้ำจุดยืนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้ตลาดปิดรับความเสี่ยง พร้อมกับบอนด์ยีลด์สหรัฐ ที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นทะลุระดับ 112 จุด

นอกจากนี้ แนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ที่หนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ ปรับตัวสูงขึ้น ก็ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) พลิกกลับมาปรับตัวลงแรงหลังจากที่ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 1,670 ดอลลาร์ต่อออนซ์ กลับสู่ระดับ 1,636 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่า ราคาทองคำยังมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลงใกล้โซนแนวรับ แต่มองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจรอทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวอาจกดดันเงินบาทในฝั่งอ่อนค่าได้

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) โดยตลาดคาดว่า ภาคการบริการของสหรัฐ อาจชะลอตัวลงหนักมากขึ้น สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการบริการที่จะลดลงสู่ระดับ 55.1 จุด กดดันโดยภาวะค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูงและผลกระทบของการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในช่วงที่ผ่านมา

ในด้านนโยบายการเงิน ไฮไลต์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะจับตามอง คือ การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างคาดว่า BOE จะเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.75% สู่ระดับ 3.00% หลังเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงกว่า 10% อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตามุมมองของ BOE ต่อการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตหรือโอกาสที่ BOE จะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย หลังเศรษฐกิจอังกฤษชะลอตัวลงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการที่ลดลงต่อเนื่องจนแตะระดับต่ำกว่า 50 จุด พอสมควร (ดัชนีต่ำกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว)

ขณะที่แนวโน้มค่าเงินบาท มองว่า เงินบาทมีโอกาสที่จะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากการกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังประธานเฟดยังคงส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ให้ระวังความผันผวนและโอกาสที่เงินบาทจะพลิกกลับมาอ่อนค่าลงหลังตลาดรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟด

ทั้งนี้ มองว่า แม้เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงได้บ้าง แต่แนวต้านอาจอยู่ในโซน 38.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งต้องจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ทั้งโฟลว์ในฝั่งตลาดหุ้นและตลาดบอนด์ว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับมา “ขายสุทธิ” หุ้นและบอนด์ไทยอีกครั้งหรือไม่ เพราะหากนักลงทุนต่างชาติไม่ได้เทขายสินทรัพย์ไทยรุนแรงและต่อเนื่องแบบในช่วงสองสัปดาห์ก่อนหน้าที่เกิดแรงขายบอนด์รุนแรง เราประเมินว่า เงินบาทก็อาจไม่ได้อ่อนค่าไปมากนักจากโซนแนวต้าน ส่วนในโซนแนวรับของเงินบาทจะอยู่ในช่วง 37.50-37.60 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าเป็นระดับที่บรรดาผู้นำเข้าต่างรอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์.

ไทยลีกเตรียมหารือหลังอาเซียนคัพชนบอลถ้วย

ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน สภากรรมการ และ ในฐานะโฆษกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เผย สมาคมฯ-ไทยลีก เตรียมหารือ สโมสรไทยลีก และหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย หลัง เอเอฟเอฟ แจ้งโปรแกรมแข่งขันฟุตบอลอาเซียน คัพ 2024 ใหม่ ชนกับฟุตบอลไทยลีก และฟุตบอลถ้วย โดยต้องการให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทุกฝ่าย

สำหรับ ศึกฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 2024 หรือ ASEAN Mitsubishi Electric Cup 2024 ทีมชาติไทย อยู่กลุ่ม A ร่วมกับ มาเลเซีย, สิงคโปร์, กัมพูชา, ผู้ชนะรอบคัดเลือก (ติมอร์ เลสเต หรือ บรูไนฯ) คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

โดยล่าสุด สหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน (AFF) ได้ส่งหนังสือแจ้งยืนยันโปรแกรมแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 2024 ใหม่ ซึ่งจะเปิดสนามในวันที่ 8 ธันวาคม 2567 ไปจนถึงวันที่ 5 มกราคม 2568 (นัดชิงชนะเลิศ) แทนโปรแกรมเดิม ระหว่างวันที่ 23 พฤศจิกายน – 21 ธันวาคม 2567

การเลื่อนโปรแกรมดังกล่าว ทำให้ต้องปรับแผนเก็บตัวใหม่ เพราะช่วงเวลาดังกล่าวมีโปรแกรม ฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปี้ยนลีก อีลิต และ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2 แมตช์เดย์ ที่ 5 และ 6 รวมถึงฟุตบอลเมืองไทยลีก 2 แมตช์เดย์ที่ 14,15 และชนกับ โปรแกรมฟุตบอลถ้วยรีโว่ คัพ รอบ 32 ทีมสุดท้าย วันที่ 25 ธันวาคม 2567 ซึ่งเป็นรอบที่ทีมไทยลีก 16 สโมสร เริ่มแข่งขัน

นอกจากนี้ยังชนกับ โปรแกรมฟุตบอลไทยลีก คู่ตกค้างในวันที่ 29 ธันวาคม 2567 ระหว่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พบ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด และนัดแรกในเลกสองของไทยลีก ที่จะเริ่มวันที่ 4 มกราคม 2568 ด้วย

โตริโน่สอยมารีปานจากโมนาโก

กองหลังวัย 30 ปีกลายเป็นส่วนเกินในทีมโมนาโก โดยที่ผ่านมามีรายงานได้รับอนุญาตย้ายสังกัดแต่ยังไม่เกิดความชัดเจนว่าเส้นทางของ มารีปาน จะไปลงเอย ณ จุดใด

แต่ล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โตริโน่ ประกาศคว้าตัว มารีปาน ร่วมทีมอย่างเป็นทางการ โดยทั้งสองฝ่ายลงนามในสัญญาถึง 30 มิถุนายนปี 2026 พร้อมเงื่อนไขยายออกไปอีก 12 เดือน

ทางด้าน โมนาโก ออกมายืนยันเช่นกันเกี่ยวกับการปล่อยแนวรับชิลีออกไปให้ อิล โตโร่ แต่ทั้งสองสโมสรไม่ด้ระบุจำนวนค่าตัวที่ชัดเจน

มารีปาน ลงเล่นให้ โมนาโก ทั้งสิ้น 150 นัด แต่หลังจากสโมสรเปลี่ยนแนวทางและคว้ากองหลังตัวใหม่แบบต่อเนื่อง ทำให้แนวรับชิลีต้องหาทีมใหม่

คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

หลังจากนี้ มารีปาน จะลงซ้อมกับ โตริโน่ เพื่อเตรียมตัวช่วยงานในเวที เซเรีย อาแต่คงไม่ทันในเกมที่ กระทิงหิน มีคิวออกไปเยือน เวเนเซีย วันศุกร์นี้

Thị trường đua khuyến mại lớn, khách Việt vẫn "vững tâm" chờ giảm trước bạ

Theo Chỉ thị 12/CT-TTg được ban hành ngày 21/4/2024, Thủ tướng Chính phủ đã yêu cầu Bộ Tài chính nghiên cứu và đề xuất phương án gia hạn thời gian nộp thuế, giảm lệ phí trước bạ đối với sản xuất, lắp ráp trong nước. Thời hạn báo cáo là trong tháng 5.

Nếu đề xuất được thông qua, khả năng chính sách này sẽ được Nhà nước chính thức áp dụng từ nửa cuối năm nay. Với “quả ngọt” từ những lần giảm 50% lệ phí trước bạ trước (nửa cuối 2020, nửa đầu 2022 và nửa cuối 2023), phần đông người dùng đều ôm tâm lý chờ đợi.

Sức mua giảm đột ngột khiến nhiều đại lý “điêu đứng”, tình trạng này đã diễn ra từ cuối tháng 4 sau khi Chỉ thị 12/CT-TTg được ban hành. Theo báo cáo của Hiệp hội Các nhà Sản xuất Ô tô Việt Nam (VAMA), các hãng xe thành viên tiêu thụ được tổng cộng 21.039 xe trong tháng 4, giảm 13% so với tháng trước.

Doanh số nhiều sản phẩm “hot” sụt giảm khiến thị trường nở rộ với nhiều khuyến mại hấp dẫn trong tháng 5, từ nhà phân phối đến đại lý. Tuy nhiên theo chia sẻ của một số tư vấn bán hàng, người dùng vẫn “thờ ơ”, quyết tâm chờ lệ phí trước bạ giảm.

Anh Đức Long, một người dùng đến từ Hà Nội, cho biết: Nhà mình đang có nhu cầu mua xe, cũng đã tham khảo một số bên. Khi mình chia sẻ rằng gia đình có ý định chờ lệ phí trước bạ giảm để tiết kiệm thêm chi phí thì có một số tư vấn bán hàng ‘dọa’ sẽ cắt khuyến mãi sau khi lệ phí giảm.trích dẫn từ Khe web trực tiếp

Họ giải thích là chương trình khuyến mại tại đại lý hay hãng xe là chính sách theo tháng, có thể thay đổi sau khi Nhà nước giảm trước bạ. Do đó nếu mình chờ giảm trước bạ mới lấy xe thì có khả năng sẽ không tiết kiệm bằng thời điểm hiện tại.

Mình có đề xuất thanh toán và nhận xe trước, xuất hóa đơn sau khi giảm trước bạ nhưng tư vấn cho biết cần phải tham khảo ý kiến của giám đốc đại lý. Mình hiểu là họ đang thiếu chỉ tiêu nên cũng mong xuất hóa đơn tháng này, nhưng ô tô có giá trị không nhỏ, mình và gia đình muốn ‘bắt đáy’ thấp nhất có thể”.

Thực tế, việc hãng xe và đại lý cắt khuyến mại đã từng xảy ra ở lần đầu giảm lệ phí trước bạ (nửa cuối 2020). Thậm chí còn có xe “kèm lạc”, khiến ưu đãi từ việc giảm lệ phí trước bạ không có nhiều ý nghĩa.

Tháng 12/2020, bản nâng cấp giữa vòng đời của Accent được ra mắt khách Việt. Ngay khi về đại lý, tư vấn bán hàng cho biết người dùng cần mua thêm một gói phụ kiện trị giá 20-30 triệu đồng tùy phiên bản nếu muốn nhận xe sớm để kịp chạy ưu đãi giảm thuế trước bạ (kéo dài đến hết 31/12/2020).

Ở năm 2023, tình hình kinh tế suy thoái ảnh hưởng đến sức mua của thị trường. Nhiều đại lý vẫn quyết định duy trì khuyến mại kể cả sau khi lệ phí trước bạ chính thức được giảm.

Theo ghi nhận của phóng viên Dân trí, trước ngày 1/7/2023, phiên bản 2.0 Premium của Mazda CX-5 VIN 2023 được giảm 100 triệu đồng từ 919 triệu đồng xuống 819 triệu đồng. Sau ngày 1/7 (mốc chính thức được áp dụng 50% lệ phí trước bạ), biến thể trên được giảm thêm 30 triệu đồng xuống 799 triệu đồng.

Trước những trường hợp như vậy, giới chuyên gia nhận định, thị trường ô tô Việt Nam nhiều khả năng sẽ giảm tiêu thụ mạnh ở tháng 5. Nếu các dòng xe nội địa được giảm 50% lệ phí trước bạ từ tháng 6, doanh số hứa hẹn sẽ tăng đột biến.